• Welcome to รวมเครื่องรางของขลังทุกทิศทั่วไทย.
 

สวัสดี ผี ใหม่ ep.3

เริ่มโดย บอย ท่าพระจันทโครพ, ธ.ค 24, 2022, 11:35 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

บอย ท่าพระจันทโครพ

ประตูบานนั้นปิดลงแล้ว หน้าต่างที่ปิดสนิทเอาไว้ก็ไม่ได้ถูกเปิดออก การหายใจยังเป็นเรื่องยากในห้องนั้น ผมขออนุญาตความหาข้าวของบางอย่างที่น่าจะยังหลงเหลืออยู่ในห้องพระเล็กๆ นี้
          ไม่นานผมก็เจอของที่ตามหา มันเป็นของสามัญทั่วไปที่น่าจะมีอยู่ในทุกๆ ห้องพระ ผมจุดธูปและเทียนให้สว่างส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง
           พี่ป้อมแง้มหน้าต่างออกนิดหนึ่งเพราะกลัวว่าจะหายใจไม่ออก ผมบอกให้พี่ๆ ทั้งสองก้มลงกราบพระด้วยกันอย่างสั้นๆ ไม่ได้สวดบทยาวอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือผมอยากให้พี่ป้อม แผ่เมตตาระลึกถึงบุญใดๆ และผู้มีพระคุณให้มาช่วยเหลือ เพื่อเปิดทางหาทางออกในครั้งนี้
          มันได้ผล เงาดำที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในความรู้สึกปนกับภาพที่เห็นด้วยตาเปล่า ที่ตรงนั้นปรากฏเป็นเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองคนดูอายุมากแล้ว แต่ยังฉายแววใจดีให้เห็น
"พี่ป้อมรู้จักผู้หญิงที่มีไฟตรงปาก กับผู้ชายที่มีรอยแดงๆ ตรงหน้าผากข้างๆ ตาไหมครับ"
          สิ้นสุดคำถามนั้น น้ำตาของพี่ป้อมก็ไหลออกมาและเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกชั่วครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้แล้วเขาก็หันกลับมาให้คำตอบที่พอจะคาดเดาได้
"พ่อกับแม่พี่เองครับ"
          ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดและคิดว่าคงจะไม่ผิด เงาดำที่เดินเข้าออกห้องพระนี้มาโดยตลอด คงจะเป็นวิญญาณของสองท่านนี้เอง รวมไปถึงเงาร่างของคนแก่คู่หนึ่งที่เดินวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ เตียงของพี่ป้อมก็น่าจะใช่ท่านทั้งสอง
          ผมถามท่านในใจว่าเหตุผลที่ยังวนเวียนอยู่นั้นคืออะไร ลูกหลานไม่ดูแลหรือว่าติดใจอะไรอยู่หรือไม่ แต่คำตอบนั้นก็ไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะเหตุผลที่ทั้งสองยังวนเวียนอยู่นั้นมันเกิดมาจากความห่วงใย หลังจากทั้งสองคนได้จากไปแล้วพวกท่านก็รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในบ้าน วิญญาณเร่ร่อนจากไหนไม่รู้หลายดวงค่อยๆ ทยอยเข้ามารบกวนคนในบ้าน และอาศัยอยู่ในนั้นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ยิ่งตอนนี้ครอบครัวมีเจ้าตัวเล็กเพิ่มขึ้นมา นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองรู้สึกเป็นห่วงและวนเวียนอยู่ภายในบ้านไม่จากไปไหน
          ดวงวิญญาณของทั้งสองนั้นทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเคลื่อนไหวไปมา วนเวียน ตามความกังวลที่ติดอยู่ในดวงจิต พี่ป้อมยังคงร้องไห้ เพราะคิดถึงและรู้สึกผิดที่เข้าใจว่าพ่อและแม่ของตนเป็นวิญญาณร้ายที่มาสร้างความกลัวให้คนในบ้าน จนเขาตัดสินใจปิดตายห้องพระที่เขาเพิ่งนึกออกว่าในวันที่พ่อแม่ยังอยู่ ทั้งสองคนจะเข้ามากราบพระเป็นประจำทุกคืน และพระประธานบนหิ้งนั้นก็เป็นของที่ได้เก็บมาจากบ้านเก่าเช่นกัน
          พ่อและแม่ของพี่ป้อมเคลื่อนตัวไปใกล้ๆ ลูกและยืนมองอยู่อย่างนั้น เหมือนอยากจะกอดเพื่อปลอบประโลมหัวใจ แต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งสองได้แค่เฝ้ามอง แต่พี่ป้อมก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
           แม้จะเป็นภาพที่น่าประทับใจ แต่มันก็คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควรสักเท่าไหร่ในเวลานี้ ผมพยายามสื่อสารกับดวงวิญญาณทั้งสอง ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากมาก เพราะพวกเขาไม่มีแรง แรงบุญที่เคยสะสมมาก็คงจะใช้เพื่อปกป้องคนในบ้านมานานพอสมควรแล้ว
          การแบ่งบุญให้ทั้งสองจึงเป็นสิ่งจำเป็น ผมหยิบเอาถุงพลาสติกใบเดิมออกมาถือไว้แล้วโรยมันลงในกระถางธูปเก่าของบ้าน บรรยากาศยิ่งปลอดโปร่งขึ้นอีกประมาณหนึ่ง
          พร้อมๆ กันนั้นก็มีเสียงคล้ายวัตถุกระทบพื้น เพดาน หรือกำแพงบ้านก็ไม่แน่ใจดังสนั่นติดกันประมาณสามครั้ง เหมือนต้องการจะแสดงความไม่พอใจ
          ผมก้มลงกราบพระอีกครั้ง พยายามอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าที่พอจะนึกออกในเวลานั้นมาประทับบนโต๊ะหมู่นี้ และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพุทธคุณ
          เมื่อได้อย่างนั้นเทียนและธูปจึงถูกจุดขึ้นใหม่อีกชุดหนึ่ง วิญญาณทั้งสองดวงนั้นลุกขึ้นค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากห้องไป ผมที่เห็นภาพนั้นเพียงคนเดียว จึงต้องเป็นคนนำทางอีกสองคนไปตามเส้นทางที่ดวงวิญญาณนั้นนำไป
          เทียนเล่มใหม่อีกสองเล่มถูกแบ่งให้พี่ทั้งสองถือไว้คนละเล่ม แสงไฟจากเทียนถูกจุดต่อมาจากเทียนบนโต๊ะหมู่ และผมกำชับให้พี่ทั้งสองหยิบไฟฉายติดมือมาด้วยในตอนที่เดินผ่านโซฟาด้านล่าง
          ไฟฉายที่พี่ป้อมเตรียมมานั้นอันใหญ่มาก น่าจะมีไว้สำหรับงานกลางคืนหรือไม่ก็เวลาเดินป่า แสงของมันเป็นสีขาวสว่างจ้า
          เราเดินตามวิญญาณทั้งสองลงมายังชั้นล่าง ตัดออกไปที่ประตูหน้าบ้าน ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาหันไปมองนางรำคนเดิมที่เคยร่ายรำอยู่ตรงสนามหญ้า ตอนนี้เธอไม่ได้ร่ายรำอยู่ แต่เธอขึ้นไปนั่งอยู่บนลานแคบๆ ข้างตัวศาลของศาลพระภูมิเธอนั่งห้อยขาแกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาที่ไร้แววของเธอจ้องมองมายังผม ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นมีสีเขียวอมม่วง ยิ้มเล็กๆ อย่างพอใจ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเธอนั้นต้องการจะสื่ออะไรกับผม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีเจตนาร้ายสักเท่าใดนัก
          พวกเราเดินอ้อมเข้ามาที่ช่องแคบๆ ข้างบ้าน เพียงเลี้ยวผ่านมุมบ้านไปนั้นดวงวิญญาณทั้งสองก็ลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
          พี่ป้อมที่เดินตามมา ยืนตัวแข็งทำตัวไม่ถูก เพราะช่องแคบนี้คือที่ที่เขาเอาศาลเก่าจากบ้านหลังเดิมมากองไว้ และตอนนี้มันก็ยังคงถูกวางไว้ที่เดิม
          แสงไฟจากไฟฉายดวงใหญ่ถูกสาดไปที่ศาลเก่าอันนั้น ฝนที่ยังคงตกลงมาทำให้พวกเราเปียกไปทั่วทั้งตัว การเคลื่อนไหวลำบากพอสมควร
          ผมกับพี่อีกคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ศาลนั้นทีละก้าวอย่างไม่มั่นใจ
ฮือ..
          เสียงร้องไห้ที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้งในอากาศ คราวนี้พวกเราได้ยินพร้อมๆ กันทั้งสามคน ผมพยายามหลับตาหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่สามารถระบุที่มานั้นได้
ฮือ...
          ผมเดินเข้าไปใกล้ตัวศาลให้มากกว่าเดิม และมันก็น่าจะเป็นดังนั้น เพราะทุกครั้งที่เราขยับเข้าใกล้ศาล เสียงร้องไห้นั้นจะดังขึ้นเรื่อยๆ
          เราค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ จนตัวผมที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดยืนชิดติดกับตัวศาล ผมกลั้นใจรวบรวมความกล้าเอื้อมมือไปแตะที่ปูนเย็นๆ นั้น
          ความรู้สึกที่แล่นปลาบเข้ามาในหัวใจ คือความเจ็บปวดทรมาน และความเศร้าที่อธิบายไม่ถูก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่ควรมีอยู่ในศาลพระภูมิที่น่าจะเป็นที่อยู่ของพระภูมิเท่านั้น
"ผมว่าในศาลนี้มีอะไรอยู่"
          ผมพูดกับพี่ๆ ทั้งสอง แต่พวกเขาก็ไม่มีข้อคิดเห็นใดตามมา ผมจึงขออนุญาตตัดสินใจเอาเองโดยพลการ
          ไฟฉายดวงใหญ่ถูกแขวนเอาไว้กับชั้นวางของใกล้ๆ นั้น แสงสว่างของมันมากพอที่จะทำให้เรามองอะไรได้ถนัดตา ผมขอให้ใครก็ได้ไปเอาค้อนมา โดยที่ผมเองก็ลืมไปแล้วว่าพี่ทั้งสองปล่อยให้เทียนดับไปตั้งแต่ตอนไหน
          แม้จะกางร่มออกมาจากบ้าน แต่ลมที่พัดเอาเม็ดฝนลอดเข้ามาก็ทำให้เราเปียก และเทียนก็ดับไปโดยที่เราก็มัวแต่พึ่งแสงสว่างจากไฟฉายจนลืมสังเกต
          ระหว่างที่พี่ๆ ไปหาค้อน ผมปลีกตัวเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน เพื่อเอาเทียนไปต่อไฟ เพราะไฟที่จุดมานั้นมันยังมีความสามารถในการปัดเป่าสิ่งไม่ดีอยู่ การจะจุดใหม่ข้างล่างก็ไม่ต่างอะไรจากเทียนทั่วๆ ไป
          ผมเอาไส้เทียนที่เปียกฝนจี้ไปที่เปลวไฟของเทียนตรงโต๊ะหมู่ ผมต้องจ่ออยู่นานกว่ามันจะติด เพราะความชื้นของไส้
          เมื่อเทียนติดดีแล้ว ผมก็หันหลังกลับจะออกจากห้องพระมา แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องผงะจนแทบจะเข่าอ่อน ที่หน้าห้องพระนั้นแม้จะสว่างไปด้วยไฟเพดานของบ้าน แต่ตอนนี้ที่ว่างตรงนั้นถูกเติมเต็มด้วยภาพของเด็กๆ นับสิบคน
          เด็กๆ กลุ่มนั้นมีหลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงเด็กสิบขวบ พวกเขาจ้องมองมาที่ผมนิ่งๆ เหมือนต้องการจะบอกอะไร สายตาพวกนั้นน่ากลัว แต่ก็น่าสงสาร
"จะเอาอะไร" ผมทำใจดีสู้เสือ
"กลับบ้าน"
          ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดคำนี้ออกมา ความรู้สึกจากคำพูดนั้น สั่นสะท้านหัวใจที่เคยหวาดกลัวให้เต็มไปด้วยความเวทนา ตอนนี้ผมได้เข้าใจแล้ว เหล่าเด็กน้อยไม่ได้มีเจตนาร้าย และพวกเขาก็ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง พวกเขาต่างถูกพรากมาจากบ้านอันเป็นที่รักของตนเหมือนๆ กัน
ผมใช้แขนปาดน้ำตาที่รื้นออกมา แล้วก้าวเท้าออกจากห้องนั้นด้วยความตั้งใจที่มากกว่าเดิม เด็กๆ หลีกทางให้ผมและยืนมองอยู่อย่างนั้นไม่ได้เดินตามมาแต่อย่างใด
          แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นอย่างนั้น หญิงสาวคอเอียงคนนั้นมายืนขวางทางผมก่อนที่จะเดินออกจากตัวบ้านไปสู่ภายนอก เธอจ้องมองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ดวงตาของเธอแม้จะไร้แวว แต่ก็ชัดเจนด้วยแรงอาฆาตและความไม่พอใจ
"กลูจะอยู่ที่นี่"
          เธอพูดกับผม แต่ผมไม่ได้ตอบกลับไป ผมมองเธอนิ่งๆ แม้ว่าลึกลงไปในใจผมจะรู้สึกกลัว แต่ภาพของเด็กๆ เหล่านั้นมีอิทธิพลกับผมมากกว่า อีกทั้งความทุกข์ของพี่ป้อม และความห่วงใหญ่ของพ่อกับแม่ สิ่งเหล่านั้นมีน้ำหนักมากกว่าความคิดตื้นๆ ของวิญญาณตรงหน้า
          ผมไม่สนใจและกำลังจะเดินผ่านเธอไป เธอส่งเสียงกรีดร้องดังเข้ามาในความคิดจนผมเวียนหัว เธอพยายามแสดงฤทธิ์หรืออำนาจใดๆ ที่เธอมี แต่มันก็เท่านั้น วิญญาณไม่เคยทำอะไรไปได้มากกว่านั้น หากจิตใจของเรามั่นคงและมีสติเพียงพอ
"กลูจะแช่งมลึง" เธอตวาด
"ก็ลองดู"
          ผมตอบเธอไปอย่างนั้นและเดินออกจากบ้านมาพร้อมๆ กับที่เธอเลือนรางหายไปในอากาศ และที่ศาลพระภูมิหน้าบ้านนั้น นางรำคนเดิมไม่ได้นั่งอยู่บนนั้นแล้วแต่ลงมายืนบนสนามหญ้าแทน
          เธอมองผมด้วยรอยยิ้มที่ใจดีกว่าเมื่อสักครู่มาก และภาพที่ทำให้ผมอมยิ้มได้คือ เด็กๆ เหล่านั้นมายืนแอบอยู่ใกล้กับเธอเหมือนรอคอยคำสัญญาจากผม
          ผมเดินกลับไปที่ช่องแคบนั้นโดยมีพี่ๆ ทั้งสองคนรออยู่ ผมวางร่มที่ใช้คอหนีบมาตลอดทางลงโดยเอามือป้องเทียนไว้ไม่ให้ดับ
          พวกเราช่วยกันสำรวจความผิดปกติของศาล แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากตุ๊กตาบริวารที่แตกหักไปตามกาลเวลา
"พลิกดูข้างใต้ไหมครับ"
          ผมเสนอความคิดเพราะนั่นน่าจะเป็นที่เดียวที่เหลืออยู่แล้ว ตัวศาลส่วนบนถูกยกลงมาวางไว้ที่พื้นข้างๆ กัน ตัวเสานั้นแยกออกจากกันได้ เราวางมันนอนลงกับพื้นแล้วก้มมองดูที่ข้างใต้เสานั้น
          ศาลพระภูมิบางศาลจะมีเสากลวงบ้างจะเป็นเสาตันแล้วแต่จะเลือกซื้อ ซึ่งศาลนี้เป็นแบบกลวง ข้างในนั้นมีปูนสีแดงถูกโบกปิดเอาไว้ลึกเข้าไปสักหนึ่งไม้บรรทัดปูนแดงนั้นชัดเจนว่ามันไม่ได้มีมาตั้งแต่เดิม แต่มันเพิ่งถูกนำมาประกอบใหม่ไม่นานมานี้ ผมบอกให้พี่เขาทุบทิ้งในทันทีเพราะต้องการดูว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่
          เสาปูนถูกทุบจนแตกละเอียด ที่ข้างในนั้นมีกะลามะพร้าวขัดอย่างดีถูกใส่เอาไว้ลูกหนึ่ง ที่แกนด้านบนของมันถูกเจาะเป็นรูและอุดไว้ด้วยผ้าแดงหนึ่งผืน
          ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือพร้อมความรู้สึกคลื่นไส้รุนแรงจนต้องหันไปอ้วกออกมาจริงๆครั้งหนึ่ง ผมกลั้นใจหยิบจุกผ้านั้นออก
          ข้างในน่าจะมีอะไรบรรจุไว้บางอย่างแต่ไม่สามารถใช้มือล้วงเข้าไปได้ ผมสวดมนต์บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ และบทถอนคุณไสยที่ปู่ให้ติดตัวไว้ก่อนจะทุ่มมันลงที่พื้นอย่างแรง
          กะลาขัดมันนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆจากแรงทุ่มเผยให้เห็นของที่ใส่ไว้ข้างใน สิ่งที่ถูบรรจุไว้นั้นน่าขนลุก มันคือหุ่นดินปั้นตัวหนึ่งที่ถูกเขียนชื่อเอาไว้บนเนื้อดิน ข้างในนั้นมีเศษเล็บและผมผสมอยู่ดูน่าเกลียด ข้างๆกันมีห่อผ้าขาวที่ข้างในบรรจุเศษเสื้อผ้า และกระดาษใบเล็กๆที่เขียนชื่อวันเดือนปีเกิดไว้อย่างละเอียด พร้อมกับวันที่อีกชุดหนึ่งที่เขียนกำกับว่า มรณะ
          สิ่งที่น่าขนลุกที่สุดคือกระดาษอีกใบหนึ่งที่อยู่ข้างในกะลาขัดมันนั้นเช่นกัน มันเป็นกระดาษที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆแต่พออ่านได้ ทั้งหมดนั้นมันคือคำแช่ง
"กลูขอไม่ให้มลึงได้ผุดได้เกิด ถึงตายไปแล้วกลูก็จะจองเวรมลึง"
          ผมโยนทุกอย่างลงที่พื้นเพราะรู้สึกอ่อนแรง ผมไม่คิดเลยว่าคนเราจะเคียดแค้นกันได้ขนาดนี้ แค้นกันจนสาปแช่งแม้กระทั่วดวงวิญญาณหลังจากเขาตายลง ยามเป็นต้องไม่สุข ยามตายต้องไม่สงบ นั่นคงเป็นความตั้งใจของผู้ที่ทำพิธีกรรมนี้ และศาลเก่าอันนี้คงถูกใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีในตอนที่มันถูกนำไปกองทิ้งไว้ที่ข้างทาง
          พี่ป้อมทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่ไม่ควรเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เลยจริงๆ
          ผมมองข้าวของพวกนั้นแล้วหยิบมันมารวมกันไว้ในถุงพลาสติก ผมฉีกตุ๊กตาดินปั้นออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้อักขระยันต์ที่ถูกจารไว้เสียสภาพ
          เพราะผมรอการมาถึงของเธอคนนี้อยู่ เธอที่ส่งเสียงร้องไห้มาโดยตลอด เธอที่ทำได้แค่ส่งเสียงเบาๆอย่างไร้ตัวตน ตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
หญิงสาวในชุดสีดำสกปรก ผมของเธอสั้นจนเกือบเป็นทรงของผู้ชาย ใบหน้านั้นคงเคยงดงามในยามมีชีวิต แต่วันนี้ไม่ใช่ เธอดูน่าเกลียดน่ากลัวจากสิ่งที่เธอทำ และสิ่งที่เธอถูกกระทำ เธอร้องขอให้ผมช่วย แต่นั่นยังไม่ถึงเวลา เธอต้องเล่ามาเสียก่อนว่า มันเกิดอะไรขึ้น
          ผมขอรวบรัดสิ่งที่เธอเล่าให้ฟังเพียงสั้นๆว่า ยามมีชีวิตเธอเป็นคนสวยแต่เลือกทางผิด เธอเลือกที่จะไปเป็นเมียน้อยชาวบ้านเขา ไม่ใช่แค่ตัวแต่รวมถึงเงินทองทรัพย์สิน มารยาหญิงเธอมีครบและทำให้ครบครัวนั้นพังไม่เป็นท่า สิ่งที่เธอทำส่งผลให้ต้องทนทรมานอยู่อย่างนี้ ประกอบกับความแค้นของฝั่งเมียหลวงที่ลงทุนทำพิธีสาปแช่งดวงวิญญาณของเธอด้วยความเคียดแค้น
          ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้เพราะเธอทำตัวเอง ผมทำได้แค่ปล่อยเธอจากอวิชชาเท่านั้น ส่วนกรรมเธอต้องรับมันไปเอง แต่อย่างน้อยผมอยากให้เธอได้สร้างบุญ โดยการช่วยเหลือชายคนนี้และเหล่าเด็กๆ
"ช่วยเขาได้ไหม บ้านหลังนี้เกิดอะไรขึ้น"
          พี่ๆทั้งสองไม่เข้าใจที่จู่ๆผมก็พูดกับอากาศ เพราะทั้งสองคนไม่ได้เห็นเหมือนกับผม เธอพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะคลาน ใช่ครับ เธอคลานไม่ได้เดินไป นั่นคงเป็นการแสดงออกตามความทรมานรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
          ผมเดินตามเธอลึกเข้าไปในช่องแคบนั้น พี่ป้อมเดินตามผมมาอย่าง งงๆ ว่าผมรู้ทางได้อย่างไร ทางนั้นเป็นทางอ้อมเข้าไปส่วนของเรือนเล็ก ที่เคยเป็นที่พักของป้าแขกก่อนจะย้ายเข้ามานอนในบ้าน
          เราเดินลัดเลาะกำแพงบ้านมาถึงประตูเรือนเล็กแล้ว พี่ป้อมไขกุญแจเข้าไปข้างในนั้นที่อับชื้นไม่แพ้กับที่อื่นๆ แต่สำหรับผมในห้องนี้ไม่ต่างอะไรจากกองขยะ
          ผมรู้สึกเหม็นอับจนแทบจะอ้วกออกมาอีกครั้ง กลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงที่คุ้นเคยยามต้อนไปเจอกับพวกของไม่ดีในที่ต่างๆ กลิ่นที่ไม่มีวันจะทำใจให้ชินกับมันได้เสียที
          วิญญาณหญิงสาวนั้นคลานเข้ามาในห้องนี้และเงยหน้ามองขึ้นไปบนฝ้าของห้อง ไฟในห้องถูกเปิดพร้อมกับที่เธอก็หายไปจากตรงนั้น
          ผมขอให้พี่ป้อมต่อบันไดขึ้นไปให้ถึงฝ้าและเปิดดูว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่
"ถ้าน้องพูดอย่างนี้มันต้องมีแน่ๆครับ" พี่ป้อมหันมาพูด
"ก็น่าจะครับ เลยต้องเปิดมาดู"
"งั้นเอาอย่างนี้แทนได้ไหมครับ"
          ผมไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่พี่ป้อมไม่ได้ดันแผ่นฝ้าขึ้นและโผล่หัวเข้าไปดู เขาคงจะกลัวว่าจะเจออะไรในที่มืดๆแคบๆนั้น พี่ป้อมจึงใช้ค้อนในมือทุบฝ้าจะแตกและพังลงมากับพื้นแทน
          สิ่งที่ร่วงลงมาบนพื้นนั้นทำให้เราทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างสยดสยอง เพราะมันคือตุ๊กตาเสียกบาล ตุ๊กตากุมาร เศษศาล ผ้าสามสี พวงมาลัยแห้ง ต่างๆนาๆเกินสามสิบชิ้น
          พวกนั้นทำเอาผมขาอ่อนไปเหมือนกันส่วนพี่ป้อมนั้นลงไปนั่งกับพื้นแล้ว พี่ป้อมทนไม่ไหวกับสิ่งที่เห็นจริงๆจึงขอให้พวกเรากลับออกไปก่อน พวกเราเดินกึ่งวิ่งกลับมาบนรถของพี่ป้อม โดยระหว่างทางผมแอบมองไปยังศาลเก่าที่เพิ่งทุบไป เธอคนนั้นกลับไปนั่งคุดคู้อยู่ข้างๆศาลตามเดิม เธอคงต้องติดอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน
          เราขับรถออกมาจอดในที่สว่างตรงตลอดใกล้ๆหมู่บ้าน พวกเรารอจนพระอาทิตย์ขึ้นสว่างและกลับเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีกครั้ง
          ของที่พบเจอในฝ้านั้นเป็นหุ่นตุ๊กตาและข้าวของต่างๆที่น่าจะพบได้ตามศาลทั่วๆไปแต่มันเก่ามาก และไม่ควรจะมาอยู่ในบ้าน สิ่งที่สะดุดตามากคือหุ่นกุมารนับสิบตัวที่เรียงรายกันอยู่บนพื้น นั่นคงจะเป็นเด็กๆพวกนั้น หุ่นนางรำที่มีตำหนิตรงชฎา เชือกเก่าๆเส้นหนึ่งคงเป็นหญิงคอเอียงคนนั้น และของอื่นๆอีกหลายชิ้นที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องบ้าๆพวกนี้
          ข้าวของทั้งหมดรวมถึงของในกะลาขัดมันถูกนำใส่เมรุและจัดการบังสุกุลในวัดใกล้ๆ ขณะที่ควันลอยออกจากปล่องเมรุผมได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสของเด็กๆกลุ่มหนึ่งดังแว่วอยู่ในอากาศ และนั่นคือค่าจ้างของผมสำหรับงานนี้ ผมคิดอย่างนั้น
          เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วเราก็ได้มานั่งคุยกันอีกครั้ง ผมสอบถามถึงป้าแขกคนที่ว่า ผมอยากคุยอยากเจออยากถามว่าเขาทำอย่างนี้ทำไม แต่คำตอบก็ค่อนข้างน่าใจหาย ป้าแขกเสียไปแล้ว น่าจะประมาณครึ่งปีหลังจากพี่ป้อมย้ายออกมา
          ก่อนหน้าที่เธอจะเสียรวมไปถึงช่วงปลายๆที่เข้ามาช่วยงานในบ้าน ป้าแขกถูกหวยติดกันแทบทุกงวด และก็ได้เยอะเกือบจะทุกครั้ง จนครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวว่าถูกไปหลายแสน แต่ไม่ถึงเดือนเธอก็ตายลงด้วยอาการป่วย
          ทุกอย่างค่อนข้างเชื่อมโยงกัน คนบ้าหวยก็มักจะดั้นด้นไปตามที่ต่างๆที่เขาว่าเฮี้ยนว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเอาของพวกนั้นมาไว้กับตัวเสียล่ะ ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
          ศาลของที่บ้านนั้นเมื่อถูกนำกลับมาคงจะเป็นจุดเริ่มต้นดึงดูดของไม่ดีเหล่านี้เข้ามา ป้าแขกเองก็คงนับได้ว่าเป็นของไม่ดีชิ้นหนึ่ง และอาถรรพ์ของมันก็ค่อยๆดึงอาถรรพ์อื่นๆเข้ามาร่วม จนสุดท้ายบ้านหลังนี้ก็เต็มไปด้วยวิญญาณดวงใหม่ๆอยู่เสมอ จากนักสะสมผู้บ้าหวยคนนั้น
          ทำไมเธอถึงตาย? คำตอบง่ายๆหากเราเชื่อเรื่องบาปบุญ เอาของเขามาอย่างไรก็ต้องใช้คืน ถูกหวยเป็นแสน สุดท้ายทำได้แค่ซื้อโลงทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย พี่ป้อมกำลังจะย้ายเข้าบ้านในอีกไม่กี่วัน แต่ผมก็ยังคาใจอยู่ว่า ที่พี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มานั่งร้องไห้นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปหาคำตอบอะไรอีก ผมไม่ได้รับรู้เบื้องลึกต้นตอใดๆมากนัก แต่ความเป็นห่วงความรักลูกก็คงจะมีมากกว่าความยึดติดใดๆ สุดท้ายผมก็แค่ได้มาพบกับพวกเขาในวันที่เรื่องมันบานปลายไปแล้วเท่านั้น
          บางอย่างก็ยังคลุมเครือแต่ก็ต้องปล่อยมันไว้อย่างนั้น
          ศาลเก่าของบ้านถูกนำไปทำลายโดยละเอียดและเอาไปทิ้งในที่ทิ้งขยะ แต่ดูเหมือนว่าดวงวิญญาณของหญิงสาวคนนั้นจะไม่ได้ไปสู่สุขคติด้วย เธอยังคงต้องวนเวียนทนทุกข์ทรมานกับกรรมที่เธอสร้าง และในเช้าวันนั้นที่ผมเห็นเธอในหอพัก วันที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้
          มันอาจหมายถึงบุญครั้งสุดท้ายที่เธอจะทำได้ วิทยาทาน อุทาหรณ์ หรืออะไรก็ตามที่เรื่องราวของเธอจะสะกิดใจใครได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยบุญนี้ก็คงพอทำให้เธอได้พบทางสว่างสักวันหนึ่ง
          ขอบุญทั้งหลายจงสำเร็จแก่เธอและขอให้เธอหลุดพ้นในเร็ววัน
......................................................................

ก็จบลงไปแล้วนะครับกับผลงานของอาจารย์ลอยชายที่ได้แบ่งปันให้กับพวกเราได้มารับชมกันและตอนนี้แอดขอฝากจริงๆ YouTube  ของทางเราโดนแฮกถ้าเกิดทำช่องใหม่แล้วอยากขอความร่วมมือทุกท่านติดตามพวกเราหน่อยนะครับเพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆให้พวกเราสร้างสรรค์ผลงานสำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนสวัสดีนะครับ🙏

You cannot view this attachment.