• Welcome to รวมเครื่องรางของขลังทุกทิศทั่วไทย.
 

สวัสดี ผี ใหม่ ep.1

เริ่มโดย บอย ท่าพระจันทโครพ, ธ.ค 22, 2022, 08:18 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

บอย ท่าพระจันทโครพ

    คืนหนึ่งที่ผมกำลังนอนหลับอยู่ในหอพักตามปกติ โดยทั่วไปแล้วผมมักจะหลับสนิทตลอดคืน น้อยครั้งมากที่จะตื่นมาเข้าห้องน้ำหรือรู้สึกหิวน้ำระหว่างคืน  เวลาสักประมาณตี 4 หรือ ตี5 ไม่แน่ใจผมค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา
          ทั่วทั้งห้องยังมืดสนิทเพราะไฟเพดานยังปิดอยู่ และแสงแรกของวันก็คงยังไม่มาเยือนเช่นกัน และนั่นหมายถึงมันยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนเพื่อไปทำงานตามปกติที่ผมมักจะตื่นประมาณ 7 โมงเช้า
          ผมขยับตัวไปมาพยายามจะนอนต่อเพราะไม่ได้รู้สึกว่าหิวน้ำหรือยากเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด บรรยากาศในวันนั้นเย็นกว่าปกติ ผมพยายามพลิกตัวไป หยิบรีโมตแอร์คิดว่าจะปิดเพื่อลดความหนาว
ติ๊ด
          เสียงสัญญาณจากเครื่องปรับอากาศดังหลังจากที่ผมหลับตาลงแล้ว ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้งผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะแทนที่เครื่องปรับอากาศจะเงียบลงหลังจากหยุดการทำงาน แต่กลายเป็นว่ามันเริ่มกลับมาดังอีกครั้งหลังจากเสียงสัญญาณ
          ด้วยความสะลึมสะลือที่มีทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตว่าเครื่องปรับอากาศมันปิดอยู่แล้วจากการตั้งเวลาที่ผมทำเองกับมือก่อนนอนในทุกๆ คืน
          เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเสียงดังในช่วงแรกก่อนที่จะเงียบลงและทำงานเข้าที่ ผมไม่ได้ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น ผมกดปุ่มที่รีโมตอีกครั้งเพื่อปิดมัน เพราะรู้สึกว่าหนาวแล้ว
          ไม่ถึงนาทีถัดมาผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิดเพิ่มขึ้นมาอีกเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงของฝนที่ตกลงกระทบกับปูนและกระเบื้องของหอพัก เสียงของมันดังน่าฟังเหมือนกับทุกที
'หนาวฝนนี่เอง'
          ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นแล้วตัดสินใจจะนอนต่ออีกสองชั่วโมง ก่อนจะต้องกลับไปต่อสู้กับงานประจำที่รออยู่ในวันนี้
          แปลก ผมยังง่วง ผมรู้ดี หนังตายังหนักและล้า แต่ก็ดูจะยังไม่สามารถหลับลงได้ในเวลานี้ เหมือนถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
          ผมขยับตัวอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนท่าให้นอนสบาย ผมหันกลับมาที่อีกมุมห้องหนึ่งซึ่งเป็นประตูระเบียง
          ประตูระเบียงห้องของผมนั้นเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสีดำแต่ไม่ได้ทึบมาก ถ้าข้างนอกมีแสงสว่างก็จะมองออกไปได้ชัดเจน
          เสียงฝนที่ตกกระทบพื้นระเบียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังจนรู้สึกเหมือนไม่มีแผ่นกระจกกั้นอยู่อีก ด้วยความสงสัยปนรำคาญผมจึงค่อยๆ ลืมตามามองวิวข้างนอกอีกครั้ง
          ฟ้าในยามนั้นยังมืดอยู่เหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่เสาไฟที่จอดรถก็สว่างพอที่จะทำให้มองเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ลางๆ
          ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมต้องเบิกตากว้างพร้อมขนที่ลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว
          แสงสลัวจากลานจอดรถสะท้อนเข้ามายังระเบียงห้องส่องให้เห็นเงาดำขมุกขมัวที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างที่เคยคุ้น ศาลปูนเสาเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ว่างข้างราวตากผ้าอันเล็กๆ แม้ไม่เห็นรายละเอียดแต่แต่เพียงโครงร่างของมันผมก็แน่ใจได้อย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร
          ศาลเสาเดี่ยวนั้นไม่ได้วูบวาบหรือสะท้อนแสงไฟ มันเป็นเพียงเงาดำไร้รายละเอียดคล้ายภาพของเงาที่สะท้อนลงบนกำแพงบ้านท่ะบเห็นได้ทั่วไป ที่ข้างๆ กันนั้นเริ่มมีกลุ่มเงาดำก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นรูปร่าง
          ที่ตรงนั้นปรากฏเงาร่างของหญิงสาวที่ผมเกือบจะลืมเธอไปแล้ว เธอนั่งคุดคู้อยู่ในท่าทางเหมือนในวันที่เราได้พบกัน เธอนั่งกอดเข่าชิดหน้าอกดูน่าอึดอัด คอที่กดต่ำลง ใบหน้าซุกอยู่ในช่องว่างระหว่างเข่าแต่ดวงตานั้นเหลือก เหลือบจ้องมองมาที่ผมอย่างต้องการจะบอกอะไร
          ทันทีที่ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจ สติของเราจะถูกเรียกให้กลับมาเพื่อเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาปะทะ สติที่กลับมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับภาพที่หายไป ระเบียงห้องนั้นกลับมาว่างเปล่าเหลือไว้เพียงราวตากผ้าของผมเท่านั้น
          ผมตื่นทันทีหลังจากเห็นภาพนั้น เพราะผมจำได้ดีว่ามันมาจากไหน และนั่นหมายถึงเรื่องอะไร
          ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าปีใหม่นี้ผมจะเขียนถึงเรื่องอะไร
          เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปหลายปีเหมือนกัน มันเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตมหาวิทยาลัยของผม ช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด ช่วงที่เรื่องราวเกี่ยวกับผีสางวิ่งเข้ามาชนทุกวี่ทุกวัน ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าทุกวันจริงๆ ไม่เพื่อนก็รุ่นพี่ ลามไปยันอาจารย์และญาติๆ เพื่อนๆ ของพวกเขาเหล่านั้น
          ครั้งนั้นก็เช่นกัน คนคนนี้เป็นเพื่อนกับคนที่ผมรู้จัก เคยพบหน้ากันบ้างตามโอกาส แต่ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไรกันมากมายนัก รู้แต่เพียงว่าใบหน้าของเขาช่างเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน บางครั้งเวลาได้เห็นหน้าคนที่อมทุกข์เราจะรับรู้ได้ทันที
          เวลาผ่านไปจนวันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักกับประโยคสั้นๆ เหมือนอย่างในหลายๆ ครั้งว่า 'มีคนอยากคุยด้วย'
          ผมรับนัดเหมือนอย่างเคย แม้จะรู้มาก่อนว่าคนที่จะต้องไปคุยด้วยเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องราวไว้ก่อนเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
          ผมนั่งรอที่เก้าอี้ไม้ของภาควิชาเหมือนอย่างทุกที เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะไปรอที่ไหน ผมนั่งรอได้ไม่นานนักก็มีรถคันใหญ่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าตึก
          รถคันนั้นลดกระจกลงให้เห็นคนที่นั่งมาข้างใน ใบหน้าที่คุ้นเคยทำให้ผมเดินเข้าไปทักทายพร้อมต้องขึ้นรถตามพวกเขาไปด้วย
          เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาเลือกที่จะออกมาคุยข้างนอกคือ เขาอยากจะพาผมไปดูสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ 'พี่ป้อม'
          เราพบเจอกันมาหลายครั้งทำให้การพูดคุยเป็นไปได้โดยง่าย เราเลือกมานั่งคุยกันที่ร้านอาหารอย่างง่ายๆ ร้านหนึ่งในตัวเมืองพิษณุโลก
          โดยไม่ต้องรอให้ถามอะไร พี่ป้อมก็ตัดสินใจค่อยๆ เล่าเรื่องที่เป็นปัญหากับชีวิตของเขามามากกว่า 10 ปี ถึงผมจะเรียกเขาว่าพี่แต่จริงๆ แล้วอายุของเขาก็มากพอที่จะเป็นน้าผมได้สบายๆ
"บ้านของพี่มีปัญหา อย่างให้ไปช่วยดูให้หน่อย"
          ผมฟังเงียบๆ เพราะรู้ว่าคนเล่ายังเล่าไม่จบ
          บ้านที่พี่ป้อมพูดถึงนั้นไม่ใช่บ้านหลังที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นบ้านหลังเก่า บ้านที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ที่ตอนนี้ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
          ในวันที่ได้รับบ้านหลังนั้นมา บ้านยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะเป็นบ้านเก่าแต่พี่ป้อมก็เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆหลังนั้นเพื่อระลึกถึงความหลังและความทรงจำที่มีค่าของตัวเอง
          ชีวิตของพี่ป้อมดำเนินไปตามวันเวลาตามปกติพร้อมกับภรรยาในบ้านหลังนั้น ทั้งสองคนไม่เคยพบเจอเรื่องราวแปลกๆ อันใดเกิดขึ้นกับชีวิต โดยเฉพาะพี่ป้อมทีเกิดและเติบโตมาในที่ดินผืนนั้น ที่นั่นมีแต่ความรักและความอบอุ่น
          เท่าที่พี่ป้อมนึกได้เรื่องราวทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นช่วงหลังแต่งงานได้สักพักหนึ่ง พี่ป้อมโชคไม่ดีนักที่พ่อและแม่ของเขาไม่ได้อยู่ร่วมแสดงความยินดีในวันแห่งความสุขนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไหร่
          หลังจากแต่งงาน พี่ป้อมและภรรยาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดิมของพี่ป้อมด้วยความสะดวกของการเดินทางและหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะพี่ป้อมเองที่ไม่อยากจะออกห่างจากบ้านหลังนี้มากนัก
          เมื่อชีวิตคู่เริ่มลงตัวทั้งสองคนก็วางแผนที่จะมีลูก ไม่กี่เดือนถัดมาภรรยาของพี่ป้อมก็ตั้งท้อง ทั้งสองตื่นเต้นและมีความสุขเป็นอย่างมากจนมาถึงวันที่เด็กน้อยจะลืมตามาดูโลก
          เด็กน้อยเกิดมาอย่างปลอดภัยและถูกนำกลับมาเลี้ยงดูที่บ้านหลังเดิม ด้วยความที่บ้านไม้หลังนั้นเริ่มเก่าและเริ่มที่จะมีบางส่วนผุพังไปตามเวลา เมื่อมองไปยังตัวเล็กที่นอนอยู่ในเปล การที่จะส่งมอบบ้านหลังนี้ให้เขาในวันที่เขาโตพอนั้นคงแทบจะเป็นไปไม่ได้
          บางครั้งในเวลาที่เด็กน้อยนอนหลับอยู่ในเปลก็จะร้องไห้อย่างเจ็บปวดเหมือนกับโดนแกล้งให้เจ็บให้ตกใจ บางครั้งก็มีรอยแดงคล้ายรอยหยิกเกิดขึ้นตามเนื้อตัวอย่างไร้สาเหตุ หนักสุดก็คงจะเป็นช่วงกลางดึกที่ลูกมักจะส่งเสียงอ้อแอ้ คล้ายพูดคุยหรือหยอกล้อกับใครบางคนอยู่ในความมืด
          นอกจากนั้นเด็กน้อยยังป่วยบ่อยจนผิดสังเกต โดยจะสังเกตได้ง่ายว่าหากคืนไหนที่เป็นวันโกนแล้วคืนนั้นเด็กจะร้องไห้หนัก วันถัดมาก็จะป่วยอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เสมอๆ
          ความเชื่อโบราณบางครั้งมักบอกว่า บ้านเก่านั้นเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าดวงวิญญาณทั้งหลาย และเด็กเกิดใหม่นั้นก็มักจะหอมบุญจนดึงดูดให้สิ่งเหล่านี้เข้ามารบกวนจนเกิดเป็นปัญหา
          เหตุผลต่างๆ นานาที่เล่ามานั้นประกอบกันทำให้พี่ป้อมตัดสินใจจะต่อเติมบ้านใหม่ ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ ก็คล้ายกับการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาทั้งหลังเพราะต้องการจะเปลี่ยนบ้านไม้ให้เป็นบ้านปูนทั้งหมด
          คืนหนึ่งหลังจากที่ทั้งสามคนย้ายเข้ามาพักในบ้านเช่าของหมู่บ้านหนึ่งระหว่างรอการต่อเติมบ้าน พี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มายืนร้องไห้ให้เห็น พี่ป้อมคิดเอาเองว่านั่นคงจะเป็นความเสียใจที่เขาทุบบ้านแสนรักของทั้งสองคนทิ้งไป
          วันถัดมาพี่ป้อมไปทำบุญที่วัดพร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานถึงทั้งสองท่าน และบอกกล่าวเหตุผลความจำเป็นที่ทำลงไป แม้ในใจลึกๆ เขาจะยังไม่สบายใจแต่นั่นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วเช่นกัน
          ระหว่างที่ทั้งสามคนอยู่ในบ้านเช่านั้น เด็กน้อยไม่มีอาการเหมือนตอนที่อยู่ในบ้านเก่า เขาหลับสนิทได้ในทุกๆ คืนและป่วยน้อยลงมาก
          ทุกๆ อย่างดูจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนวันที่บ้านใหม่เสร็จพร้อมเข้าอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เราจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง วันนั้นก็เช่นกัน
          ทั้งสามคนย้ายเข้าด้วยความสุขทุกอย่างดูสนุกสนาน พร้อมๆ กับที่งานของพี่ป้อมเริ่มจะมากขึ้นทำให้มีเวลาน้อยลงบางครั้งต้องประชุมบางครั้งต้องทำงานล่วงเวลา ส่วนพี่น้อยแฟนของพี่ป้อมเองแม้ว่างานของเธอจะสามารถทำงานอยู่บ้านได้บ้าง แต่บางครั้งก็ต้องเข้าไปที่ออฟฟิศเหมือนกัน
          ทางออกของทั้งสองคนคือ การจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ไม่นานนักเขาก็ได้พี่เลี้ยงเด็กมาคนหนึ่งจากคำแนะนำของคนแถวบ้าน ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ดีมากสำหรับพี่ป้อม เพราะเชื่อว่าคนยุคเก่าจะเลี้ยงเด็กได้ดีกว่าคนวัยรุ่นสมัยนี้
          ทุกอย่างราบรื่นดี ป้าแขก ก็เข้ากับเด็กน้อยได้ดี อาหารการกินเป็นไปตามสุขลักษณะทั้งหมด จนในวันหนึ่งที่พี่ป้อมกลับมาที่บ้านและเดินไปมุมหลังบ้านซึ่งเอาไว้ใช้เก็บของหลังจากที่ไม่ได้เดินเข้ามาตรงนี้นานแล้ว
          ที่ตรงนั้นมีศาลเก่าๆ ศาลหนึ่งตั้งอยู่ พี่ป้อมจำมันได้ในทันทีแต่ไม่เข้าใจว่าตัวเองหลงลืมมันไปได้อย่างไร

ศาลพระภูมิของบ้านที่มีมานาน เขาโตมากับมันแต่ไม่ได้เข้าไปดูแลยุ่งเกี่ยวมากนัก ศาลนั้นค่อนข้างเก่าแล้วและมันก็อยู่ในมุมอับของบ้านหลังจากการต่อเติม พี่ป้อมจึงตัดสินใจจะตั้งศาลใหม่
            ศาลใหม่ถูกจัดหามาในเวลาไม่นาน รวมไปถึงฤกษ์และวันเพื่อขึ้นศาลใหม่ โดยที่ศาลเก่านั้นจะถูกนำไปทิ้งตามทีที่เหมาะสม
          เมื่อวันขึ้นศาลมาถึง ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พราหมณ์ที่มาทำพิธีให้ ก็ดูใจดีไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร ส่วนศาลเก่านั้นถูกนำไปกองทิ้งไว้ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เหตุเพราะพี่ป้อมเห็นว่ามีคนนำของลักษณะนี้มาทิ้งกองรวมกันไว้พอสมควร
          ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปตามปกติพร้อมกับเด็กน้อยที่โตวันโตคืน น่าจะร่วมสามเดือนเห็นจะได้ที่จู่ๆ พี่ป้อมก็ฝันเห็นพ่อกับแม่มานั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นกลางบ้าน
          พี่ป้อมตื่นมาด้วยความไม่สบายใจและยังคิดกังวลเกี่ยวกับฝันนั้น แต่พี่น้อยก็ปลอบใจว่าคงจะคิดมากไปเองไม่น่ามีอะไรหรอก
          ตัวเขาเองก็พยายามจะเชื่ออย่างนั้นถ้าเขาไม่ได้ฝันซ้ำอีกครั้งด้วยใจความที่ใกล้เคียง คืนนั้นพี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มานั่งอยู่ตรงพื้นกลางบ้านเหมือนครั้งที่แล้ว ฝ่ายพ่อยืนนิ่งสงบ จ้องมายังเขาอย่างไม่พอใจ ส่วนแม่นั้นนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่กับพื้น
          ในฝันนั้นเหมือนจริงมาก พี่ป้อมยืนมองภาพนั้นต่ออีกครู่หนึ่งภาพรอบข้างก็เปลี่ยนไปให้เห็นเป็นวิวของบ้านหลังเก่าที่ถูกทุบไปแล้ว ทั้งสองคนยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิมแต่เปลี่ยนสถานที่ และในฝันนั้นพี่ป้อมก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน ภาพของศาลเก่าที่ตั้งอยู่เบื้องหลังพ่อกับแม่ ฝันนั้นเหมือนจริงมากในทุกความรู้สึก พี่ป้อมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากจนต้องมาปรึกษาภรรยาเพื่อหาทางออก และอีกคนหนึ่งก็คือ ป้าแขกที่เป็นคนเก่าคนแก่น่าจะมีคำแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง
          หลังจากปรึกษาหารือกันพักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่า พวกเขาจะไปนำศาลเก่านั้นกลับมาตั้งไว้ที่บ้านดังเดิม เพราะฝันนั้นอาจหมายถึงความไม่พอใจของพ่อกับแม่ก็เป็นได้
          พี่ป้อมขับรถไปตามถนนเปลี่ยวเส้นเดิมในช่วงเวลากลางวัน เพื่อมองหาศาลเก่าของบ้านที่ได้ทิ้งไปแล้ว ระหว่างนั้นในใจก็คิดว่าหากศาลนั้นไม่อยู่แล้วจะทำอย่างไรดี
          รถกระบะคันใหญ่จอดเทียบอยู่ข้างถนนก่อนที่คนงานของพี่ป้อมจะเดินเข้าไปช่วยกันหา โชคดีเหลือเกินที่ศาลนั้นยังคงวางอยู่ในที่เดิมและไม่ได้มีอะไรสูญหายไป
          พี่ป้อมและคนงานช่วยกันยกมันขึ้นกระบะหลังแล้วขับออกมาจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด เพราะพี่ป้อมบอกผมว่านอกจากศาลเก่าๆ แล้วมันยังมีพวกตุ๊กตาดินเผา เศียรแตกหักต่างๆ อีกหลายชิ้นที่มองดูน่าขนลุก
          ศาลเก่าหลังนั้นถูกนำมาตั้งวางไว้ที่มุมหนึ่งของบ้านซึ่งเป็นที่อับสายตา จริงๆ แล้วมันก็ดูไม่เหมาะนักแต่ก็ไม่มีที่อื่นให้นำไปวางแล้วจริงๆ
          นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ของเรื่องนี้พี่ป้อมพูดกับผมด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก เหมือนจะโกรธ แต่ก็กลัว และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยกล้าพูดถึงมันสักเท่าไหร่
          เพียงคืนแรกของการนำศาลนั้นกลับมาตั้งในบ้าน พี่ป้อมเองแทบจะไม่ได้นอนในคืนนั้นเพราะเสียงประหลาดที่ดังอยู่ทั่วบ้าน เสียงนั้นเป็นเสียงคล้ายฝีเท้าของเด็กหลายคน พี่ป้อมย้ำกับผมว่า หลายคน ไม่ใช่สองสามคนแน่ๆ
          เสียงวิ่งเล่นของเด็กๆ ดังไปทั่วขื่อและฝ้าของบ้าน เหมือนกับกำลังวิ่งไล่จับ
"รู้ได้ไงครับว่าเป็นเด็ก" ผมถาม
"เสียงหัวเราะครับ มันมีปนมากับเสียงฝีเท้า"
          พี่ป้อมพยายามข่มตานอนและดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นปิดตาปิดหน้าด้วยความกลัว สุดท้ายเสียงไก่ของบ้านใกล้ๆ ก็ขันบอกเวลาเช้าที่มาถึง
          เขาปลุกภรรยาให้ตื่นแล้วเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง พี่น้อยกลัวมากแต่ตัวเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติดังกล่าวด้วยสักนิดเดียว
          พอเล่าเรื่องนี้ให้ป้าแขกฟัง ป้าแกก็เป็นเดือดเป็นร้อนรีบจัดแจงไปหาพระมาพรมน้ำมนต์ให้ที่บ้าน เพราะกลัวว่ามันจะส่งผลไม่ดีกับเจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
          ในคืนถัดมาเท่านั้นเสียงวิ่งไม่ได้หายไป และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากเสียงที่เคยดังอยู่บนฝ้าเพดาน มันเริ่มเหมือนวิ่งอยู่ที่พื้นชั้นล่างของบ้าน บางครั้งก็มีบางเสียงที่เล็ดลอดผ่านบันไดชั้นสองขึ้นมาข้างบน
ครั้งหนึ่งเสียงฝีเท้าเล็กๆ นั้นแยกออกมาจากกลุ่มใหญ่ขึ้นมาตามบันไดบ้าน เสียงฝีเท้านั้นวนเวียนอยู่ที่หน้าห้องนอนของทั้งสามคน เสียงนั้นเงียบไปโดยที่พี่ป้อมจินตนาการเอาเองว่าเด็กคนนั้นอาจจะจ้องมองมายังประตูห้องของเขาอยู่ในเวลานั้น
          พี่ป้อมกลั้นหายใจด้วยความกลัว แต่สองตาก็ต้องจ้องประตูบานนั้นไว้เพื่อเตรียมพร้อม แต่แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจอย่างโลกอกที่เสียงฝีเท้านั้นดังไกลออกไปราวกับว่าเด็กคนนั้นได้ลงบันไดไปแล้ว
          บ้านเริ่มน่ากลัวขึ้นในความรู้สึกของพี่ป้อม เพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่รับรู้และรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น
          คนทั้งสองขอให้ป้าแขกช่วยหาวิธีจัดการกับความผิดปกติที่มี จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเพิ่มเงินให้ป้าแขกอีกเท่าตัวหนึ่งเพื่อให้ป้ามานอนอยู่ในบ้านเหมือนกับเป็นแม่บ้านประจำของบ้านหลังนี้ และจะให้กลับบ้านในช่วงเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
          คนแก่ที่ว่างงานอย่างป้าแขกยินดีรับข้อเสนอนั้นและอีกอย่างป้าแกก็คงกำลังติดเจ้าตัวเล็กแจเหมือนเป็นหลานแท้ๆ ของตัวเอง
          ในคืนแรกที่ป้าแขกมานอนค้างที่บ้านหลังนี้ ป้าได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่เข้ามาในบ้านด้วย ป้าบอกว่าเป็นพระประธานที่ได้มาจากวัดดังเมื่อนานมาแล้วศักดิ์สิทธิ์มาก
          มันได้ผล เสียงฝีเท้าเหล่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีมาให้ได้ยินแม้แต่คืนเดียว จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนเสียงเหล่านั้นก็กลับมาอีก
          ในคืนวันโกนคืนหนึ่ง ที่พี่ป้อมจำได้เป็นเพราะป้าแขกจะจัดเครื่องเซ่นไหว้พระภูมิทุกวันพระ ด้วยเหตุผลว่าท่านจะได้มีแรงมาคุ้มครองดูแลเรา และอาหารที่นำไปไหว้นั้นก็มักจะเตรียมเองในคืนวันโกนของสัปดาห์นั้นๆ
          กลางดึกคืนนั้นพี่ป้อมได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังวนเวียนไปมาอยู่บนฝ้าเพดานของบ้าน เสียงนั้นเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ความหนักเบาของเสียงนั้นทำให้พอรับรู้ถึงระยะห่างที่มี
          พี่ป้อมกลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหันไปหยิบยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูกยัดเข้าใส่ปาก หวังว่าฤทธิ์ยาจะทำให้เขาได้นอนหลับลงในคืนนั้น
          ความง่วงค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความกลัวจนตัวเขาเผลอหลับไป และในคืนนั้นเขาก็ฝัน ในฝันนั้นไม่ชัดเจนค่อนข้างเลือนราง เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังเตาะแตะแยกออกมาจากกลุ่มใหญ่เหมือนครั้งนั้น เสียงมันเหมือนเท้าที่ก้าวขึ้นมาบนบันไดทีละขั้นๆ
          เสียงฝีเท้าดังจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเช่นเคย และเงียบไม่ดังต่อ ในสติอันเลือนราง จู่ๆ เสียงฝีเท้านั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันดังวนไปมาอยู่รอบๆ เตียงของพี่ป้อมและภรรยา
          เสียงนั้นกังวานเหมือนกับอยู่ในฝัน พี่ป้อมตัวแข็งไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ลืมตามองเพดานห้องฟังเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่เดินวนไปวนมาเหมือนกับกำลังสำรวจห้อง
          สุดท้ายเสียงนั้นดังมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงใกล้กับหัวของเขา พี่ป้อมพยายามจะหลับตาแต่ก็ทำไม่ได้ จะพลิกตัวหนีก็ทำไม่ได้ เสียงฝีเท้านั้นหยุดนิ่ง
          บนเพดานอันว่างเปล่านั้น จู่ๆ ที่มุมหนึ่งของคลองสายตาก็ปรากฏรูปร่างของแขนเล็กๆ ยื่นมาจากข้างเตียง มือเล็กๆ นั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา โชคดีที่เขาตื่นขึ้นจากความฝันด้วยเสียงปลุกของภรรยา
          พี่ป้อมหอบหายใจตัวโยนด้วยความกลัว และปลอบใจตัวเองว่าดีแค่ไหนแล้วที่มันเป็นเพียงความฝัน เมื่อเรียกสติคืนมาได้ หูของเขาก็สามารถจับใจความถึงเสียงบ่นของภรรยาได้

"ก่อนนอนทำไมไม่ดูให้ดีๆ ประตูห้องก็ปิดไม่สนิท ค่าไฟค่าแอร์บานแน่เดือนนี้"

ประโยคนั้นทำเอาเขาขนลุกเย็นสันหลังวาบ เพราะเขาแน่ใจว่าปิดดีแล้ว อีกทั้งน่าจะลงกลอนอีกชั้นด้วยซ้ำ นั่นคือนิสัยที่เขาเป็นมาตลอด ยิ่งตอนนี้มีลูกน้อยเขายิ่งต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องได้โดยง่าย
          หนึ่งสัปดาห์ที่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น นอกจากเสียงฝีเท้าที่โผล่มาในบางคืน จนมาถึงวันโกนอีกวันหนึ่ง สิ่งผิดปกติใหม่ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

ครั้งนี้เหตุการณ์ประหลาดไม่ได้เกิดขึ้นกับพี่ป้อม แต่กลับเป็นพี่น้อย คืนนั้นเธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระหายน้ำ จึงเดินลงมาที่ชั้นล่างโดยไม่ได้เปิดไฟให้สว่างทุกดวงเพราะไฟที่บันไดก็สว่างพอจะทำให้เห็นบริเวณบ้านได้
          พี่น้อยยืนดื่มน้ำอยู่ที่หน้าตู้เย็น อากาศคืนนั้นหนาวกว่าทุกที และก่อนที่เธอจะกลับขึ้นไปบนห้องนอน หูของเธอก็แว่วยินเสียงผิดปกติที่ไม่น่าจะดังขึ้นมาได้ในเวลานี้
          เสียงบรรเลงของดนตรีไทยวงใหญ่ที่เธอไม่รู้จัก พี่น้อยบอกว่าเธอไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเพลงอะไร แต่มันน่าจะเป็นการผสมกันทั้งเครื่องตี เครื่องสาย และเครื่องเป่า เสียงของมันเบาเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ
          แต่เมื่อฟังให้ดีกลับรู้สึกว่ามันใกล้ สมองของพี่น้อยประมวลผลย้อนกลับไปถึงเรื่องเสียงฝีเท้าที่พี่ป้อมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ แต่ตอนนั้นเธอรู้สึกกลัวสุดหัวใจ จนตั้งใจจะออกแรงวิ่งสุดชีวิตกลับขึ้นไปยังห้องนอน
          ตอนที่เธอวิ่งออกจากห้องครัวกำลังจะเลี้ยวขึ้นบันได หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรจะมีอยู่ในบ้าน แสงไฟนีออนที่สนามหน้าบ้านฉายผ่านผ้าม่านของห้องนั่งเล่นเข้ามาจนเห็นเป็นสีสว่างรางๆ
          ภาพผ้าม่านที่ถูกส่องด้วยแสงไฟคล้ายฉากหนังตลุง ปรากฏเป็นเงาร่างของนางรำนางหนึ่งในชุดชฎาทรงสูง ร่ายรำไปมาตามจังหวะเพลงที่พี่น้อยได้ยิน
          เธอไม่ได้ต้องการมองภาพนั้น แต่เธอกำลังขาแข็งด้วยความกลัวจนก้าวไม่ออก เธอเลยทำได้แค่ยืนมองเงาร่างนั้น ขยับร่ายรำไปมาตามจังหวะอยู่อีกหลายวินาที ก่อนที่ความกลัวจะพุ่งถึงขีดสุด จนทำให้เธอทรุดตัวลงกับพื้นเอามือปิดหู หลับตาส่งเสียงกรี๊ดปลุกคนในบ้าน
          เธอคิดอย่างนั้นพี่ป้อมบอกผม หากแต่แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ลงไปดื่มน้ำแต่อย่างใด หรือจริงๆ เธออาจจะลงมาดื่มน้ำก็ได้ แต่ตอนที่พี่ป้อมพบเธอนั้น เธอกำลังเอนตัวพิงโซฟาหลับอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างสงบ
          พี่ป้อมเดินเข้าไปปลุกภรรยาให้ตื่น เพราะไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงมานอนอยู่ตรงนี้ พี่น้อยตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจและรีบโผเข้ากอดพี่ป้อมทันที
          เรื่องราวดูค่อยๆ จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ป้าแขกพยายามเชิญทั้งพระและหมอผีมาช่วยขับไล่ต่างๆ นานา แต่ก็ดูเหมือนมันจะดีขึ้นได้แค่เป็นพักๆ เท่านั้น เพราะในบางคืนเสียงฝีเท้าเหล่านั้นยังคงดังรบกวนพี่ป้อมอยู่ ส่วนดนตรีไทยและนางรำนั้นไม่มีใครได้พบเห็นอีก นอกจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านหลังที่ติดกิน
"เขาว่าไงครับ" ผมถามด้วยความอยากรู้
"มีวันหนึ่งเขามาบอกพี่ว่า ขอให้เปิดเพลงเบาๆ หน่อย ช่วงดึกๆ เขานอนไม่หลับ พอพี่ถามว่าเพลงอะไร เขาบอกเป็นดนตรีไทย"
          และนั่นยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เพราะหลังจากนั้นยังมีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้นซ้ำอีกหลายหน แต่ที่น่าแปลกคือ ในแต่ละครั้งนั้นเหมือนมันจะไม่มีความคล้ายคลึงกันเลยสักนิด
          พี่ป้อมขอเล่ารวบรัดมาอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่ากลัวและฝังใจของเขาพอสมควร นั่นคือบ่ายวันหนึ่ง พี่ป้อมย้ำว่าเป็น บ่าย ไม่ใช่กลางดึกแต่อย่างใด วันนั้นเป็นวันหยุด ทุกคนอยู่ที่บ้าน ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง
          พี่น้อยกับป้าแขกช่วยกันดูแลเจ้าตัวเล็กตามปกติ ส่วนพี่ป้อมก็มีโอกาสได้เอนตัวจิบเบียร์เย็นๆ ดูภาพยนตร์ที่ชอบอยู่บนโซฟาตัวเดิมในห้องนั่งเล่นของบ้าน
          เบียร์ที่พูดถึงนั้นมีเพียงขวดเดียว และมันก็ยังไม่ได้ถูกดื่มจนหมด แต่พี่ป้อมก็รู้สึกมึนมากกว่าปกติ ในตอนที่กำลังเคลิ้มนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีน้ำหนักอะไรบางอย่างมากดทับลงที่แขนข้างหนึ่งที่วางพาดอยู่บนพนักโซฟา
          สัมผัสที่รู้สึกได้นั้น เย็นชืดเหมือนกับคนที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำอะไรประมาณนั้น มันคือสัมผัสของผิวหนังย่นๆ พี่ป้อมใช้คำนี้กับผมในตอนที่กำลังเล่าเรื่อง

ด้วยความตกใจพี่ป้อมจึงรีบหันไปดูที่แขนของตัวเอง ภาพที่เห็นนั้นทำเอาเขาใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เพราะที่โซฟาข้างๆ นั้นมีร่างของเด็กคนหนึ่งน่าจะอายุราวสองถึงสามขวบ เด็กคนนั้นนั่งหันข้างมามองเขาโดยที่หัวพิงซบอยู่กับแขนข้างที่พาดไว้บนโซฟา
          สภาพของเด็กคนนั้นน่าเวทนาในความทรงจำ แต่ตอนนั้นเขาเองทำได้แค่กลัวเท่านั้น ผิวหนังที่เย็นชืดและซีดจากการจมอยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน ผมเผ้าที่เปียกชุ่มลีบไปตามศีรษะ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกกลัวจนขาดสติไปในที่สุด
          พี่ป้อมถูกปลุกด้วยเสียงของลูกตัวเอง หลังจากที่พี่น้อยอุ้มมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ เขา พี่ป้อมค่อยๆ รู้สึกตัวและรับรู้ว่ามันคงจะเป็นฝันเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา แต่ภาพเหล่านั้นมันก็ชัดเจนเหลือเกิน
          ภาพในวันนั้นยังติดตาเขาอยู่และเวลาก็ผ่านมาประมาณหนึ่งโดยที่พี่ป้อมไม่สามารถระบุวันเวลาได้ ครั้งนี้เรื่องเกิดขึ้นกับพี่น้อยไม่ใช่เขา
          เช้าตรู่วันหนึ่งขณะที่พี่น้อยกำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมจะลงไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนกินกัน เธอยืนสระผมอยู่ใต้ฝักบัวเหมือนอย่างในทุกๆ วัน แต่จู่ๆ กลิ่นแชมพูที่ชอบก็ค่อยๆ กลายเป็นกลิ่นคาวเหมือนกับน้ำเน่าที่ขังมาเป็นเวลานาน
          id=736]FB_IMG_1671671363160.jpg[/attach]