• Welcome to รวมเครื่องรางของขลังทุกทิศทั่วไทย.
 

ฉันไม่เห็นผี แต่ ผีเห็นฉัน

เริ่มโดย บอย ท่าพระจันทโครพ, ธ.ค 21, 2022, 07:33 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

บอย ท่าพระจันทโครพ

สวีดัดดดดดดดจ้าววววววววว มาลงเรื่องตามสัญญาแล้วน๊าาาาา และแอดจะขอหายไป2-3วันน๊า ไปทำธุระจ้าาาาา @นิล

เมื่อฉันเพิ่งเกิด

ฉันเกิดที่จังหวัดหนึ่งในภาคกลาง ตอนที่ฉันเกิดบ้านริมน้ำเพิ่งจะเริ่มสร้าง เนื่องจากที่บ้านฉันมีอาชีพทำนา พ่อกับแม่จึงได้พาครอบครัวไปๆมาๆระหว่างบ้านเก่ากลางทุ่งนากับบ้านริมน้ำ
ลักษณะบ้านกลางทุ่งนา เป็นบ้านหลังคามุงสังกะสี พื้นบ้านทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก ใต้ถุนบ้านยกสูง
บ้านฉันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาวอีก2คน ฉันที่เพิ่งจะลืมตาดูโลก และสุนัขตัวน้อย1ตัว
นอกจากบ้านฉันแล้ว ยังมีบ้านป้าอีก1หลังที่ปลูกอยู่ใกล้เคียงกัน สมาชิกในครอบครัวป้า มีลุง ป้า ลูกสาว1คน และสุนัข1ตัว

                เมื่อสมัย50ปีก่อน ลุงสามีของป้าฉันขอเรียกว่าลุงก้อนกับป้าสำลี แม่ฉันเล่าให้ฟังคร่าวๆว่า ลุงก้อนเป็นอาสาสมัครทหาร อาสาไปรบ แต่ฉันจำไม่ได้ว่าสงครามอะไร และฐานที่ลุงก้อนประจำการอยู่โดนถล่ม ลุงก้อนและเพื่อนจำนวนหนึ่งได้หนีออกจากฐาน และเดินเท้ากลับบ้าน โดยใช้เวลาหลายเดือน เมื่อลุงก้อนถึงบ้าน ลุงจิตใจไม่เหมือนปกติ เหม่อลอย เพ้อ แต่ลุงก้อนยังสามารถทำงาน พูดจารู้เรื่อง จนเวลาผ่านไปหลายปีลุงได้ล้มป่วย นอนติดเตียง อยู่ในสภาพไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

                หลายสิบปีต่อมา แม่ฉันได้คลอดฉันออกมา และเมื่อแม่พาฉันมาพักที่บ้าน  เรื่องราวชวนขนลุกจึงได้เกิดขึ้น
ด้วยความที่บ้านฉันเป็นเพียงบ้านไม้ไผ่ มีหน้าต่างอยู่รอบบ้าน ฉันจึงได้นอนข้างหน้าต่าง
ฉันลืมเล่าว่า รอบๆบ้านฉันพ่อปลูกต้นมะพร้าวไว้หลายต้น มีอยู่ต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่ติดกับตัวบ้าน

                ในคืนที่ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ลูกสุนัขที่พ่อเลี้ยงไว้ได้ มันชื่อดำ ไอ้ดำที่กำลังนอนหลับอยู่ใต้ถุนบ้านลุกขึ้นเห่าเสียงดัง
พลางมองไปยังต้นมะพร้าวข้างบ้าน  แล้วมันรีบกระโดดขึ้นบันไดมาบนบ้าน มายืนเห่ากรรโชกข้างหน้าต่าง ปลายสายตาของไอ้ดำคือต้นมะพร้าวต้นเดิม

"ไอ้ดำ เห่าอะไร" แม่ดุให้ไอ้ดำเงียบ และไล่มันลงบ้าน แต่ไม่ได้ผล ไอ้ดำยังเห่าและส่งเสียงขู่ จนพ่อรีบวิ่งขึ้นมา

"มันเห่าตรงต้นมะพร้าว"แม่บอกพ่อ พ่อรีบส่องไฟ แต่......

"พรืดดดดดดดดดดดดดดดด ตุ๊บๆๆๆๆๆ "เสียงของอะไรบางอย่างรูดลงจากต้นมะพร้าว และมีเสียงเหมือนคนกำลังวิ่งไปทางบ้านป้าสำลี

พ่อเงียบไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าพ่อส่องไฟไปเจอสิ่งที่ไอ้ดำเห่าหรือไม่ พ่อไม่ยอมบอกแม่
ตอนเช้า พ่อเดินไปบ้านป้าสำลี
"เมื่อคืนลุงก้อนปีนต้นมะพร้าวไปดูศรีกับบัว (บัวคือชื่อฉัน)"พ่อบอกกับป้าสำลี แต่ป้าไม่เชื่อ ลุงก้อนจะปีนต้นไม้ได้ยังไง ในเมื่อลุงนอนติดเตียงมาหลายสิบปีแล้ว จนกระทั่ง ป้าสำลีอาบน้ำทำความสะอาดตัวให้ลุงก้อนแล้วปรากฎว่า

"ลุงก้อน เมื่อคืนไปปีนต้นมะพร้าวแอบดูอีศรีกับไอ้บัวเหรอ!!!" ป้าสำลีโวยวายเสียงดังแล้วรีบวิ่งไปเรียกพ่อฉันมาดู

"เมื่อคืนไปแอบดูศรีกับบัวเหรอ" พ่อฉันถามย้ำเมื่อเห็นหลักฐานบนตัวลุง

"เปล่า กูไม่ได้ไป" ลุงปฎิเสธ
แต่รอยแผลถลอกที่ยังมีเลือดซึมปรากฎอยู่บนตัวลุงตั้งแต่อกไปจนถึงขอบกางเกง
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนป่วยนอนติดเตียงจะมีรอยแบบนี้
และป้าสำลีได้ยืนยันว่า อาบน้ำให้ลุงทุกวันไม่เคยมีแผล แต่มันเพิ่งมีตอนที่เกิดเรื่อง

"ลุงก้อนอย่าทำแบบนี้อีกนะ ศรีมันกลัว" พ่อบอก

ผ่านไปหลายเดือน ไม่มีเหตุการณ์ชวนขนลุกระหว่างลุงก้อนกับบ้านฉันอีก

จนวันนึง เวลาโพล้เพล้ อากบ น้องเขยของพ่อกำลังจะไปดักปลาที่นา ซึ่งอากบจะต้องเดินผ่านบ้านฉันกับป้าสำลีทุกวัน
อากบเดินมาเจอคนๆหนึ่งกำลังเดินสวนทางมา มีแหอยู่บนไหล่

"อ้าว ลุงก้อน เดินได้ยังไง หายแล้วเหรอ?" อากบตกใจเป็นอย่างมากเพราะรู้ดีว่า ลุงก้อนล้มป่วยหนัก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

"หายแล้ว จะไปทอดแห" ลุงก้อนตอบ และเดินสวนทางออกไป
เท่านั้นแหละ อากบรีบวิ่งไปนาทันที จะวิ่งกลับบ้านตัวเองก็ไม่ได้ เพราะเป็นทางเดียวกับที่ลุงก้อนเพิ่งเดินไป

และคืนนั้นเป็นคืนที่ลุงก้อนเสียชีวิต อากบเจอใคร?

เรื่องของป้าสำลี
จำป้าสำลีภรรยาลุงก้อนได้ไหมคะ?
หลังจากที่บ้านริมน้ำสร้างเสร็จ พ่อก็พาครอบครัวออกจากบ้านกลางทุ่งนามาอยู่บ้านหลังใหม่ ป้าสำลีกับลูกสาวจึงต้องอยู่กันเพียง2คนเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี ป้าสำลีป่วย ด้วยโรคสุดฮิต ป้าสำลีเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่3 ด้วยการเดินทางที่ไม่สะดวก ไปหาหมอแต่ละครั้งก็ลำบาก ประกอบกับพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อาการป้าก็เริ่มแย่ คนที่พาป้าไปหาหมอคือแม่ของฉัน ตอนนั้นพากันนั่งรถไฟไปโรงพยาบาล กว่าจะกลับก็เย็น ป้าจะต้องขี่จักรยานไปตามคันนาเพื่อกลับบ้าน พ่อกับแม่จึงปรึกษากัน ให้ป้ามาอยู่ด้วย เพื่อที่การเดินทางจะได้สะดวกขึ้น

ข้างบ้านฉันมีบ้านหลังหนึ่งอยู่ติดกัน มีเพียงรั้วลวดหนามกั้น ยายแก่หลังง่อม ผมยาวสีขาวเต็มหัวถูกมัดเป็นมวยผมอยู่กลางศรีษะ
แกอยู่กับลูกชายขี้เมา2คน เมื่อตอนเด็กๆ ฉันชอบไปเล่นกับหลานๆที่บ้านแกประจำ  ยายแก่ยังแข็งแรงเดินไปซื้อของที่ร้านค้าได้ 

กลางดึกคืนหนึ่ง ณ คลองหน้าบ้าน
น้าหนิงกับน้านุ้ย 2 คน ผัวเมีย พายเรือลงข่ายหาปลาเป็นประจำทุกคืน
น้าหนิงเล่าให้ฟังว่า เห็นยายแก่ลักษณะเหมือนยายข้างบ้านฉัน เดินอยู่ริมถนน แล้วเดินลงไปบริเวณประตูรั้วหน้าบ้านฉัน
ทั้ง2คนหยุดพายเรือแล้วรอดูว่ายายแก่เดินไปไหน มาทำไมดึกดื่น ถ้ามาเยี่ยมคนป่วยคงไม่ใช่ เพราะบ้านฉันปิดไฟนอนหมดแล้ว 2คนผัวเมียจอดเรือรอดูอยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นยายแก่กลับมา จึงพายเรือลงข่ายต่อ ขากลับ น้าหนิงมองดูทางบ้านฉันอีกครั้ง ปรากฎว่า ยายแก่เดินออกจากบ้านฉัน กลับไปยังบ้านตัวเอง

"ผีปอบ" น้าหนิงสรุป  "เห็นทุกคืน" น้าหนิงมาเตือนพ่อ

ส่วนป้าสำลีนั้นเล่าให้ฟังว่า คืนที่พี่ยุ้ยไม่ได้อ่านหนังสือ ขึ้นไปดูทีวีอยู่บนบ้าน ป้าสำลีนอนอยู่ชั้นล่างเพียงคนเดียว ป้ายังนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา เมื่อหันตัวไปทางริมมุ้ง เจอยายแก่ทำท่าทางตะครุบตัวป้าสำลีที่นอนอยู่ในมุ้ง
"ฝันรึเปล่า" พ่อถาม
"ยังไม่ได้หลับเลย" ป้ายืนยันหนักแน่  ด้วยความกังวลของป้าสำลี พ่อฉันจึงหาใบหนาด(ความเชื่อคนแก่)มาแขวนไว้ตามหน้าต่างและประตูห้องที่ป้าสำลีนอน

พี่ยุ้ยเล่าเสริมว่า
มีอยู่คืนหนึ่งเปิดโคมไฟนอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆป้า พอหันไปหาป้าเพื่อดูว่าหลับรึยัง กลับเห็นป้าสำลีนอนลืมตาโพลงหันหน้ามาทางพี่ยุ้ย แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง
"แม่เป็นอะไร เลียปากทำไม" พี่ยุ้ยโวยวาย
"ปากมันแห้ง" ป้าสำลีตอบแค่นั้น

ป้าสำลีเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ป้าจึงขอกลับไปอยู่บ้านกลางทุ่งนาเหมือนเดิม อาการของป้าแย่ลงทุกวันๆร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
จนกระทั่งวันที่ป้าสำลีเสีย ชาวบ้านแถวนั้นได้เห็นอีกา2ตัวบินร้องและตีกันอยู่เป็นเวลานานมาก จนทุกคนต่างเอะใจว่าป้าสำลีกำลังจะเสียแน่ๆ
วันนั้นฉันจำได้ดีว่าพ่อกับฉัน มานอนเฝ้าป้าสำลีที่บ้าน ตื่นเช้ามาฉันเห็นพ่อกับน้าหนิงทำกรวยดอกไม้ธูปเทียนให้ป้า ฉันไม่รู้หรอกว่าเค้ารู้ได้ยังไงว่าคนกำลังใกล้จะตาย แต่คงสังเกตุจากอาการหอบ หายใจติดขัด 
ภาพติดตาฉันคือ ตอนที่ป้ากำลังจะหมดลม ป้าเริ่มหายใจติดขัดขึ้นเรื่อยๆ

"เฮือออออออออออก "ลมหายใจสุดท้ายที่ดังแรงและลากยาว ก่อนจะไม่ได้หายใจอีกเลย

ศพป้าสำลีถูกนำไปไว้ที่วัด 
คืนแรก
ลูกพี่ลูกน้องฉันเล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ พี่มองไปทางบ้านป้า เห็นดวงไฟขนาดไม่ใหญ่ลอยเข้าบ้าน ตอนแรกคิดว่าเป็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซต์พ่อฉันเพราะทางหมู่บ้านฉันมีความเชื่อเรื่องการนอนทับที่นอนคนตาย พ่อฉันจะเป็นคนไปนอน แต่เวลานั้น ยังเป็นเวลาที่พระสวดศพอยู่
ซึ่งแน่นอนว่าพ่อฉัน ไม่เจอผี ไม่เห็นอะไร "ไปนอนทุกวัน ไม่เห็นเจออะไร ถ้าเจอจะขอหวยให้" พ่อบอกกับทุกคน

หลังจากที่ป้าเสียชีวิตไปหลายเดือน บ้านป้าไม่มีคนอยู่ พี่ยุ้ยไปอาศัยอยู่กับป้าอีกคนที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวคนโต
บ้านของป้าเริ่มรกร้าง ในวันหนึ่งที่แม่ฉันเดินไปนา แม่แวะไปดูบ้านป้าสำลี
ตอนที่เดินไปถึงศาลพระภูมิหน้าบ้าน แม่ได้กลิ่นแป้งน้ำแฮปปี้ ที่ป้าสำลีใช้ประจำลอยมา
(ป้าสำลีชอบแป้งน้ำแฮปปี้มาก  ใช้เป็นประจำ แม้กระทั่งตอนอาบน้ำศพเสร็จ ป้าก็ยังใช้)
"ป้าสำลี เดี๋ยวทำบุญไปให้นะ" กลิ่นจึงค่อยๆหายไป

ส่วนเรื่องราวของยายแก่ข้างบ้าน หลายปีต่อมาลูกสาวคนหนึ่งมารับไปดูแลที่ต่างจังหวัด
แต่เรื่องเล่าของยายแก่ไม่ได้จบแค่นั้น บรรดาคนที่อยู่ระแวกเดียวกันกับบ้านฉันเล่าว่า เห็นยายแก่เดินไปมาระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านฉันประจำ
บางคืนก็เดินเลาะรั้วลวดหนาม คนแถวนั้นเห็นบ่อย แต่ไม่กล้าบอก กลัวพ่อกับแม่ฉันไม่เชื่อ กลัวคนป่วยเสียขวัญ

ปัจจุบันยายแก่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  ยายแก่จะเป็นผีปอบแบบที่คนอื่นเค้ากล่าวอ้างกันหรือไม่? ฉันไม่รู้
และตอนนี้บ้านหลังนั้นถูกรีโนเวทขึ้นใหม่ไม่เหลือแบบบ้านทรงโบราณที่น่ากลัว แต่รั้วลวดหนามของพ่อฉันยังอยู่เหมือนเดิม

หรือว่าอามิ่งยังอยู่ที่บ้าน

หลังจากทำบุญครบรอบ 100 วันของป้าสำลี  ทางบ้านฉันก็ต้องได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง
อามิ่งน้องชายคนสุดท้องของพ่อ เกิดอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล อามิ่งนอนอยู่ห้องไอซียู
บรรดาญาติพี่น้องเหมารถสองแถวไปเยี่ยมและให้กำลังใจเมียกับลูกของอามิ่ง

คนแรกที่เจอเรื่องแปลกประหลาด เพราะเป็นช่วงฤดูทำนา อามิ่งจึงนำรถไถไปจอดไว้บ้านป้าที่เป็นญาติห่างๆ
คืนที่กลับจากเยี่ยมคนป่วย แสงไฟจากใต้ถุนบ้านส่องให้เห็นใครบางคนนั่งอยู่บนรถไถของอามิ่ง
ป้าคิดว่าเป็นขโมย แต่เมื่อเห็นชัดๆ กลับเป็นอามิ่งนั่นเองที่นั่งอยู่บนรถไถ

เวลาตีหนึ่ง พี่สาวที่เป็นพยาบาลในห้องไอซียูได้โทรมาแจ้งว่า อามิ่งเสียชีวิตแล้ว ศพอามิ่งถูกนำไปไว้วัดประจำหมู่บ้าน

คนที่สอง คืนแรกของการสวดศพ ทางครอบครัวได้จ้างคนรับจ้างมานอนเฝ้าบ้าน เพราะลูกเมียอามิ่งไปอยู่วัดหมด
คนๆนี้รู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะ เคยได้ร่วมงานและตั้งวงกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ  เค้าจึงไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว
คนรับจ้างนั่งกินเหล้าอยู่ใต้ถุนบ้านกับหมาของอามิ่ง1ตัว ทันใดนั้นเอง หมาลุกขึ้นเห่าแล้วกระโดดคลอเคลียวิ่งดักหน้าดักหลังเหมือนเห็นเจ้าของ  แต่ไม่มีใครซักคนอยู่ตรงหน้า คนรับจ้างได้แต่บอกว่า "สงสัยมิ่งมันจะกลับบ้าน"

คนที่สาม ครั้งนี้ไม่ได้เจอที่บ้านของอามิ่ง แต่เจอที่บ้านของป้าที่เป็นพี่สาวคนโต
ด้วยความที่คนอื่นๆไปวัดหมด พี่ยอดลูกเขยป้ากับลูกสาวตัวน้อยได้อยู่เฝ้าบ้านกัน 2 คน
พี่ยอดนั่งกินเหล้าอยู่ระเบียงบ้านชั้นบน ลูกสาวนอนหลับอยู่ข้างๆ
เสียงหมาที่ป้าเลี้ยงไว้เห่า แล้ววิ่งหยอกล้อกับความว่างเปล่าในความมืด พี่ยอดชะเง้อมองดูหมา แต่ไม่พบใคร
เสียงน้ำไหลจากก๊อกน้ำ พี่ยอดชะโงกหน้าลงไปดู เห็นก๊อกน้ำเปิดอยู่ "มีคนเปิดก๊อกน้ำ" ด้วยความเมาเลยนึกสนุกพูดขึ้นมาว่า

"อามิ่งมากินเหล้าด้วยกัน" พร้อมกับเทเหล้าวางตรงที่ว่างข้างๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงคนขึ้นบันไดพร้อมเอาเสียงทุบฝาบ้าน

"ตุ๊บๆๆๆๆๆ" เสียงดังขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงที่พี่ยอดนั่งอยู่  พี่ยอดจึงนึกขึ้นได้ว่า ผีหลอก!!!!แล้วตัวเองยังเป็นคนกลัวผี
 พี่ยอดรีบลุกหนีจนหัวไปชนกับฝาบ้าน เมื่อตั้งหลักได้จึงรีบวิ่งหนีไปบ้านอากบที่ปลูกอยู่ติดกัน  พอดีกับที่อากบขี่รถมอเตอร์ไซต์กลับจากวัด

"อากบๆ ช่วยด้วยๆ อามิ่งมาหา"พี่ยอดบอกเสียงสั่น แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ปล่อยลูกสาวนอนหลับอยู่ที่ระเบียงบ้าน ตรงที่นั่งกินเหล้า

"อากบไปรับลูกเป็นเพื่อนหน่อยสิ"  แต่อากบปฎิเสธเพราะกลัวผีไม่แพ้กัน ทั้ง2จึงตกลงกันว่า จะนั่งรอคนอื่นๆที่บ้านอากบ
เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ยอดผมร่วง เป็นไข้ มีแผลบวมปูดที่หน้าผาก แล้วหลังจากคืนนั้น ทุกคนก็เห็นพี่ยอดอยู่ที่งานศพอามิ่งทุกคืน เพราะเค้าไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว

เรื่องราวของอามิ่งหายไปนาน จนเวลาผ่านไปเกือบ10ปี ลูกสาวคนโตอามิ่งจะแต่งงาน จึงมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายมาคุยเรื่องสินสอด
ว่าที่เจ้าบ่าวก็เพิ่งมาบ้านว่าที่เจ้าสาวครั้งแรก เมื่อเดินขึ้นบันไดบ้านมาเจอรูปอามิ่ง เค้าถามทันทีว่า "คนนี้คือใคร"
"พ่อเราเอง" ว่าที่เจ้าสาวตอบ จากนั้นทุกคนจึงรับรู้ว่าอามิ่งยังอยู่
ในฝันของว่าที่เจ้าบ่าว เจออามิ่ง(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใคร) มายืนทำหน้าบูดบึ้งเหมือนโกรธแค้นอยู่หน้าบ้าน
 แต่ในฝันอามิ่งไม่ได้พูดอะไร มีเพียงสีหน้าที่ทำให้รู้ว่าอามิ่งโกรธมาก

3 ปีต่อมา งานแต่งลูกสาวคนสุดท้องของอามิ่ง

อามิ่งได้ไปเข้าฝันพี่สาวคนโตว่า ให้ทำความสะอาดบ้านให้ดี แล้วคอยดูเรื่องการตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระ กับโต๊ะหลังน้ำสังข์ เพราะบ้านเราคับแคบ

ส่วนออแกไนซ์ที่รับจัดงาน เมื่อเห็นรูปอามิ่งได้แต่อุทานว่า
"ลุงแกไปหาหนูในฝัน เรื่องจัดงานนี่แหละ แกบอกให้วางของ ตั้งของตรงไหนๆ มายืนชี้จุดให้หนูดูอยู่"

มีการไถปรับที่นาเพื่อทำที่จอดรถ  ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัดบอกเสียงตื่นๆ

"ฉันขนลุกเลย เมื่อคืนฉันฝันว่ามางานแต่ง เจอมิ่งมันกวักมือเรียกให้มาจอดรถตรงนี้" ญาติชี้มือไปยังทุ่งนาที่จอดรถ

"เนี่ยๆ มันยืนเรียกอยู่ตรงต้นไม้ต้นนี้แหละ มันบอกว่าบ้านมันแคบ เข้าไปจอดข้างในไม่ได้ "

นับจากวันที่มีงานแต่ง ก็ไม่มีใครรู้ว่าอามิ่งยังอยู่บ้านหลังนั้นรึเปล่า แต่ไม่เคยมีคนในบ้านหรือญาติพี่น้องคนไหนเจออามิ่งเลย

You cannot view this attachment.